Nursing Mahidol: The Forum

1.กระบวนการขอความยินยอมฯที่เด็กจะสามารถให้ความยินยอมหรือไม่ให้ความยินยอมได้โดยปราศจากอิทธิพลของผู้ปกครองหรือครู
คือการแยกขอความยินยอม เช่น แยกเอกสารของเด็ก กับของผู้ปกครองคนละซอง หรือใช้การขอ ความยินยอมคนละครั้งโดยขอจาก
ผู้ปกครองก่อน และให้เด็กนำซองปิดผนึกมาใส่ลงกล่องที่ชั้นเรียน
2.การขอความยินยอมโดยเอกสาร ควรจะขอผู้ปกครองก่อน โดยเมื่อครบระยะเวลาการตอบกลับแล้ว ผู้วิจัยจึงเปิดเอกสารของผู้ปกครองดู
หากผู้ปกครองของนักเรียนคนใดลงนามยินดีให้นักเรียนคนนั้นเข้าร่วมการวิจัย จึงขอความยินยอมกับเด็กด้วย assent form อีกครั้ง แต่
สำหรับนักเรียนที่ผู้ปกครองไม่ยินดีให้เข้าร่วมการวิจัย ก็ไม่ต้องขอความยินยอมกับเด็กอีก

จากแนวทางจริยธรรมการวิจัยในเด็ก ปี พ.ศ.2558 ของ FERCIT เรื่องการขอความยินยอมในการเข้าร่วมการวิจัยสำหรับเด็ก อายุ 7-12 ปี (ไม่ถึง 13 ปี บริบูรณ์) ให้เตรียมเอกสารชี้แจงสำหรับเด็กแยกจากเอกสารของผู้ปกครอง ทั้งนี้ทั้งเด็กและผู้ปกครองควรจะยินยอมทั้งสองฝ่าย ถ้าผู้ปกครองไม่ยินยอม แต่เด็กยินยอม ก็ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ และถ้าผู้ปกครองยินยอม แต่เด็กไม่ยินยอม ก็ไม่ควรเก็บข้อมูลค่ะ

ขอคำแนะนำการปฏิบัติ เนื่องจากนักศึกษาจะเก็บข้อมูลกับเด็กอายุ 7 – 13 ปี ซึ่งต้องดำเนินการ Assent Form กับตัวเด็ก และขอความยินยอมกับผู้ปกครอง ซึ่งการขอความยินยอมนักศึกษาจะส่งเอกสารให้เด็กถือไปให้ผู้ปกครองอ่าน และนำกลับมาในสัปดาห์ถัดไป อยากจะสอบถามว่า
1. จะมีกระบวนการขอความยินยอมเช่นใด ที่เด็กจะสามารถให้ความยินยอมอย่างสมัครใจโดยปราศจากอิทธิพลการบังคับของพ่อแม่ เช่น พ่อแม่อยากให้ลูกเข้า แต่เด็กไม่อยากเข้าร่วมการวิจัย
2. กระบวนการขอความยินยอมโดยการส่งเอกสารไปนั้น ควรจะขอความยินยอมจากใครก่อน ผู้ปกครอง หรือเด็ก หรือส่งเอกสารไปพร้อมกันและให้เด็กเป็นคนเอากลับมาคืนที่ครูประจำชั้นที่โรงเรียน
3. หากเด็ก และผู้ปกครองตัดสินใจไม่ตรงกัน (เด็กไม่อยากเข้าร่วมแต่พ่อแม่อยากให้เข้าร่วม หรือกลับกัน) นักศึกษาจะถือว่าสิทธิ์ขาดอยู่ที่ใคร และจะดำเนินการอย่างไร ควรคัดเฉพาะคนที่พ่อแม่ และเด็ก
ยินยอมเหมือนกันมาเข้าร่วมวิจัย หรือยึดเอาสิทธิ์ของเด็กเป็นหลัก

ขอบคุณค่ะ